โรคถ้ำมอง (Voyeurism) คือการมีความสุขทางเพศ จากการได้แอบดูผู้อื่นเปลือยกายหรือร่วมเพศกัน เป็นความสนใจทางเพศที่ได้แอบดูคนอื่นทำการในที่ลับ เช่น ถอดเสื้อผ้า มีกิจกรรมทางเพศ หรือการอื่น ๆ ที่ปกติพิจารณาว่าเป็นเรื่องควรทำเป็นการส่วนตัว
คนแอบดูปกติจะไม่ทำอะไรโดยตรงกับบุคคลที่เป็นเป้า บ่อยครั้งที่ผู้ถูกแอบดูจะไม่รู้ว่ากำลังถูกแอบดู จุดสำคัญของการแอบดูก็คือการเห็น แต่อาจจะรวมการแอบถ่ายรูปหรือวิดีโอ
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลมีความต้องการจะกระทำสิ่งนี้อย่างรุนแรงจนไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ หรือถึงขนาดยอมเสี่ยงต่อการเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือถูกเหยียดหยาม ถ้ามีผู้พบเห็นการกระทำของตน เช่น พยายามเจาะรูห้องน้ำหรือห้องแต่งตัวของเพื่อนบ้าน ลอบเข้าไปในสวนแล้วปีนต้นไม้ เพื่อให้สามารถมองเข้าไปทางหน้าต่างห้องนอนของผู้อื่น หรือสนับสนุนให้ภรรยาเป็นชู้กับชายอื่นต่อหน้าต่อตา เป็นต้น นับว่าผิดปกติมากกว่าพฤติกรรมที่ได้กล่าวไว้แล้ว และสังคมไม่ยอมรับ จึงจัดเป็นความวิปริตทางเพศ
แต่การกระทำเช่นนี้มักให้ความสุขทางเพศแก่ผู้กระทำมากกว่าการร่วมเพศตามปกติ จึงทำให้ผู้กระทำไม่ต้องการการรักษา
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองไปด้วยขณะแอบดู และสามารถมีความสุขทางเพศถึงจุดสุดยอดได้
ด้วยเหตุที่มีความวิปริตดังกล่าวในสังคม ซ่องโสเภณีบางแห่งจึงเปิดบริการลูกค้าเหล่านี้ โดยมีช่องไว้ให้แอบดูผู้อื่นร่วมเพศกัน
สมาคมจิตเวชอเมริกัน (American Psychiatric Association) ได้จัดหมวดหมู่รูปแบบจินตนาการ ความอยาก และพฤติกรรมแบบถ้ำมองว่าเป็นโรคกามวิปริตในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM-IV) ถ้าบุคคลนั้นประพฤติตามความอยาก หรือว่าความอยากและจินตนาการทางเพศเช่นนั้น ทำให้เกิดความทุกข์และความขัดข้องในความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างสำคัญ ในคู่มือสากลคือ ICD-10 นี้จัดเป็นความผิดปกติเกี่ยวกับความชอบใจทางเพศ (disorder of sexual preference) DSM-IV นิยาม voyeurism ว่าเป็นการดู “คนที่ไม่สงสัย ปกติเป็นคนแปลกหน้า ที่เปลือย หรือกำลังถอดเสื้อผ้า หรือกำลังมีกิจกรรมทางเพศ” แต่ว่าการวินิจฉัยเช่นนี้ จะไม่ให้ต่อบุคคลที่เกิดอารมณ์ทางเพศปกติ โดยเพียงแต่เห็นความเปลือยหรือกิจกรรมทางเพศเท่านั้น คือ จะได้วินิจฉัยเช่นนี้ อาการดังกล่าวต้องเกิดเป็นเวลากว่า 6 เดือน และบุคคลนั้นต้องมีอายุเกินกว่า 18 ปี
สาเหตุ
เชื่อว่าเกิดจากการขาดความอบอุ่น ขาดความมั่นใจในวัยเด็ก และการไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ด้วยความมั่นใจ เขาจะรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นผู้ชายพอ และคนอื่นๆ ก็คิดถึงเขาในทำนองเดียวกัน เพราะฉะนั้นการแอบมองของเขาเป็นเสมือนการประกันว่าเขาจะไม่ล้มเหลวในกิจกรรมทางเพศ เพราะได้เห็นว่าคนอื่นเขาทำกันอย่างไร
ขณะเดียวกันเขาก็พอใจในความเหนือกว่าคนๆ นั้นด้วยเพราะตนเองสามารถมองเขาอย่างลับๆได้
ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์เชื่อว่าพฤติกรรมนี้เกิดจากการเห็นพ่อแม่ร่วมเพศกันในวัยเด็ก
ความต้องการที่จะดูคู่ร่วมเพศ เปลือยหรือได้เห็นการร่วมเพศของตนถือว่าปกติ เช่นเดียวกับการอยากดูภาพการร่วมเพศของตนทางกระจกเงา แต่จะผิดปกติถ้าความต้องการนี้รุนแรงกว่าความต้องการร่วมเพศธรรมดา หรือเป็นความต้องการอย่างมากชนิดที่ควบคุมไม่ได้
การบำบัดรักษา
โดยประวัติแล้ว มีการบำบัดการแอบดูหลายวิธี รวมทั้ง จิตวิเคราะห์ จิตบำบัดกลุ่ม (group psychotherapy) และ aversion therapy ซึ่งล้วนแต่มีผลสำเร็จที่จำกัด
มีหลักฐานด้วยว่า
สื่อลามกอนาจารสามารถใช้ช่วยบำบัดการแอบดู
โดยเป็นหลักฐานสำหรับไอเดียว่า ประเทศที่มีการตรวจพิจารณาสื่อลามกอนาจารมีระดับการแอบดูสูง นอกจากนั้นแล้ว การเปลี่ยนการแอบดู ไปเป็นการดูสื่อลามกอนาจารที่โจ่งแจ้ง คือดูรูปเปลือยในนิตยสารเพลย์บอย ได้ใช้เป็นการบำบัดอย่างสำเร็จผลมาแล้ว งานวิจัยเหล่านี้แสดงว่า สื่อลามกอนาจารสามารถใช้เป็นตัวสนองความต้องการจะแอบดูโดยไม่ต้องทำผิดกฎหมาย
การแอบดูยังบำบัดได้ด้วยยาระงับอาการทางจิตและยาแก้ซึมเศร้าแบบต่าง ๆ แต่ว่า กรณีศึกษาที่แสดงผลเช่นนี้ มีตัวอย่างเป็นคนไข้ที่มีปัญหาทางจิตอย่างอื่นหลายอย่าง และดังนั้น การรักษาด้วยการใช้ยาอย่างเข้มอาจจะไม่จำเป็นสำหรับคนแอบดูโดยมาก
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผลสำเร็จในการรักษาการชอบแอบดูโดยใช้วิธีบำบัดความผิดปกติแบบย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder) และมีตัวอย่างการให้ยาฟลูอ็อกเซทีน แก่คนไข้แล้วบำบัดพฤติกรรมการแอบดูเหมือนกับพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ
อาชญาวิทยา
การแอบดูคนที่ไม่ยินยอมเป็นรูปแบบของทารุณกรรมทางเพศ (sexual abuse) และ
เมื่อมีความสนใจในบุคคลเป้าหมายคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ พฤติกรรมอาจจะกลายเป็นการติดตามแบบก่อกวน (stalking)
สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกายืนยันโดยอาศัยข้อมูลจากผู้ทำผิดทางเพศแบบรุนแรงว่า บุคคลบางคนที่ทำอาชญากรรมแบบเป็นเหตุรำคาญ (เช่น การแอบดู) มีความโน้มเอียงที่จะทำอาชญากรรมรุนแรงประเภทอื่น ๆ
นักวิจัยของสำนักงานเสนอว่า คนแอบดูมีโอกาสมากกว่าที่จะมีลักษณะที่สามัญแต่ไม่ใช่ทั่วไป ในบรรดาบุคคลผู้ทำผิดทางเพศ ที่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากที่จะจับเหยื่อหรือสร้างรูปของเหยื่อ ผู้จะวางแผนอย่างเป็นระบบในการเลือกและเตรียมอุปกรณ์ และบ่อยครั้งให้ความใส่ใจกับรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน
แต่ไม่มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับสถิติทางประชากรของผู้แอบดู
ตัวอย่างผู้ป่วย
ผู้ป่วยชาย โสด วัย 25 ปี เป็นนักธุรกิจระดับผู้บริหาร มาพบแพทย์เพราะมีความสุขทางเพศ จากการได้แอบดูผู้หญิงเปลือยกายหรือกำลังร่วมเพศ ผู้ป่วยเคยถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของบริษัท ที่เขาทำงานอยู่จับได้ขณะประพฤติเช่นที่กล่าวและได้รับคำแนะนำให้ไปรับการ รักษาเสีย มิฉะนั้นอาจถูกไล่ออกจากงาน แต่เขาก็มิได้กระทำตามคำแนะนำนั้น
ผู้ป่วยเป็นชายหนุ่มที่พูดจาฉาด ฉาน สง่าผ่าเผย และเป็นที่สนใจของหญิงสาวทั่วไป เขาจะมีนัดกับสาวเหล่านั้นบ่อยๆ และร่วมเพศ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์กับคู่นอนหลายคน แต่กระนั้นก็พบว่า ยังมีสภาวการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาเกิดความตื่นเต้นมากกว่าการร่วมเพศ เขาซื้อกล้องส่องทางไกล ที่มีกำลังขยายสูงและใช้ส่องดูในห้องพักของเพื่อนบ้าน ซึ่งบางครั้งก็ได้เห็นของดีๆ แต่ก็มีบ่อยๆ ที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นต่อมาเขาจึงปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านเช่า และพยายามมองหา จนกว่าจะพบหญิงสาวที่เปลือยกายหรือกำลังร่วมเพศ เขาไม่ต้องการร่วมเพศกับหญิงเหล่านั้น แต่จะสำเร็จความใคร่จนถึงสุดยอดขณะแอบดูหรือทันทีหลังแอบดู แล้วก็กลับบ้าน เขารู้สึกว่าการกระทำเช่นนั้น เป็นสิ่งเดียวที่ให้ความสุขทางเพศอย่างแท้จริง แม้ว่าบางครั้งเขาจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย เช่นเกือบถูกผู้ดูแลบ้านเช่าจับได้เพราะคิดว่าเขาเป็นขโมย เกือบถูกชายหญิงที่เขาแอบดูทำร้าย และหวุดหวิดจะถูกยิง แต่ก็ไม่ทำให้เขาเลิกพฤติกรรมดังกล่าวได้
ผู้ป่วยมีพี่สาว 3 คน บิดาของผู้ป่วยเป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูง เคร่งศาสนา และลงโทษผู้ป่วยบ่อยๆ สำหรับมารดาดูท่าทางเหมือนคนอบอุ่น เปิดเผยและเจ้าชู้ แต่ก็ไม่ได้แสดงลักษณะเช่นนั้นกับผู้ป่วย ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเป็นที่รักของมารดา และคิดว่าหญิงที่เขารักจะต้องมีลักษณะเหมือนมารดาของตน ขณะที่มาพบแพทย์เขายังไม่เคยรักหรือมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งและถาวรกับ หญิงคนใดเลย
ครอบครัวของผู้ป่วยค่อนข้างจะเคร่งครัดเรื่องเพศ ตัวอย่างเช่น สมาชิกของครอบครัว จะไม่ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่น และพ่อแม่ก็จะหลีกเลี่ยงการกระทำซึ่งก่อให้เกิดความเร้าใจทางเพศ ผู้ป่วยจำได้ว่าระหว่างอายุ 7-10 ปี เคยดูแม่และพี่สาวถอดเสื้อผ้า แต่เขาก็เพียงดูและพยายามดู ให้มากที่สุดเท่านั้น
ผู้ป่วยเริ่ม “แอบดู” เมื่ออายุ 10 ขวบกับเพื่อนชายอีกหลายคนขณะที่ไปพักแรมในฤดูร้อน เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมการกระทำเช่นนี้จึงเป็นสิ่งเดียวที่เย้ายวนใจเขา ในขณะที่เพื่อนค่อยๆ เปลี่ยนไปสนใจการมีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามแทนการแอบดู เขาเริ่มใช้กล้องส่องทางไกล เมื่ออายุ 11 ปี แต่ส่องดูจากในบ้านเพิ่งจะออกไปส่องนอกบ้านเมื่ออายุ 17 ปี
ผู้ป่วยสังเกตว่า ความตึงเครียดมีความสัมพันธ์กับการแอบดูอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น ขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ในชีวิต ได้แก่เมื่อแยกบ้านจากบิดามารดาหรือเมื่อผ่านการเรียนแต่ละภาค การกระทำเช่นนี้จะเกิดบ่อยขึ้น แต่ไม่รู้สึกว่าความวิตกกังวลเกี่ยวกับการร่วมเพศมีความสัมพันธ์ กับความต้องการที่จะแอบดู เขาไม่มีความรู้สึกผิดหรือละอายต่อการกระทำของตน และรู้สึกว่ามันไม่มีอันตรายอะไร แต่อย่างไรก็ตามเขาก็กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาอาจถูกจับเข้าคุก ดังนั้นเขาจึงคิดจะรักษาความวิปริตดังกล่าวนี้
เรียบเรียงจาก
– บทความ “การเป็นนักถ้ำมอง” โดยศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวัทนา อารีพรรค
– wikipedia.org