การฝึกกรรมฐานนั้น ควรพิจารณาในเบื้องต้นว่าตัวเราเองถูกจริตกับกรรมฐานของไหนมากที่สุด ก็ให้ใช้สิ่งนั้นเป็นตัวกำหนดเพิจารณา หรือถ้าอยากจะลองหลายๆ อย่างก็ได้ เพื่อดูว่าสิ่งใดเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด ที่ว่าเหมาะสมก็คือ การที่เราเพิ่งพิจารณาแล้ว ทำให้เรามีใจที่สงบ เห็นสภาพตามความเป็นจริงในสิ่งที่นำมาพิจารณานั้นโดยเนื้อแท้ แต่ถ้าจะให้ดีควรจะลองให้มากกว่า ๑ อย่างขึ้นไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว ทั้งหมดนี้ก็คืออุบายในการโน้มใจเราให้เข้าถึงธรรมชาติ เกิดความเบื่อหน่ายในสภาพร่างกายที่เป็นอยู่ และเห็นธรรม เกิดปัญญารู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริงตามสภาพของวัตถุธาตุและกระบวนการของขันธ์ ๕ นั่นเอง รวมแล้วมี ๔๐ อย่างดังนี้
๑. วัตถุที่ใช้เพ่งรวมจิตให้สงบนิ่ง (กสิณ ๑๐)
๒. สิ่งที่ไม่สวยงาม ของเน่าเสีย (อสุภะ ๑๐)
๓. ใช้การระลึกถึง (อนุสติ ๑๐)
๔. ธรรมที่ใช้สำหรับดำเนินชีวิตอันประเสริฐ (อัปปมัญญา ๔)
๕. อาหารที่ต้องเน่าเสีย (อาหาเร ปฏิกูลสัญญา)
๖. ใช้การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ในกาย (จตุธาตุววัฏฐาน)
๗. ใช้สิ่งที่ไม่มีรูป จับต้องไม่ได้เป็นอารมณ์ (อรูป ๔)
๑.วัตถุที่ใช้สำหรับเพ่งเพื่อโน้มน้าวรวมจิตให้เกิดสมาธิได้มี ๑๐ อย่าง (กสิณ ๑๐) ได้แก่
๑.ดิน (ปฐวีกสิณ) | ๖.สีเหลือง (ปีตกกสิณ) |
๒.น้ำ (อาโปกสิณ) | ๗.สีแดง (โลหิตกสิณ) |
๓.ไฟ (เตโชกสิณ) | ๘.สีขาว (โอทาตกสิณ) |
๔.ลม (วาโยกสิณ) | ๙.แสงสว่าง (อาโลกกสิณ) |
๕.สีเขียว (นีลกสิณ) | ๑๐.ที่ว่างเปล่า (อากาสกสิณ) |
๒.สิ่งที่ไม่สวยงามสามารถนำมาใช้เป็นอารมณ์ในการทำกรรมฐานได้ ๑๐ อย่าง (อสุภ ๑๐) มีดังนี้คือ
๑.ซากศพที่เน่าพอง (อุทธุมาตกะ) | ๖.ซากศพที่หลุดออกเป็นส่วนๆ (วิกขิตตกะ) |
๒.ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำคละสีต่างๆ (วินีลกะ) | ๗.ซากศพที่ถูกสับเป็นท่อนๆ (หตวิกขิตตกะ) |
๓.ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มปริออกมา (วิปุพพกะ) | ๘.ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบอยู่ (โลหิตกะ) |
๔.ซากศพที่ขาดจากกันเป็น ๒ ท่อน (วิจฉิททกะ) | ๙.ซากศพที่เต็มไปด้วยหนอน (ปุฬุวกะ) |
๕.ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว (วิกขายิตกะ) | ๑๐.ซากศพที่เหลือแต่กระดูก (อัฏฐิกะ) |
๓. ใช้การระลึกถึงเป็นอารมณ์ในการทำกรรมฐาน (อนุสติ ๑๐) มี๑๐ อย่างดังนี้
๑.ระสึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธานุสติ) | ๖.นึกถึงพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย (เทวดานุสติ) |
๒.ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอน (ธัมมานุสติ) | ๗.ใช้ความตายเป็นอารมณ์ (มรณสติ) |
๓.ระลึกถึงพระสงฆ์ (สังฆานุสติ) | ๘.พิจารณาส่วนประกอบในร่างกายเรา (กายคตาสติ) |
๔.ระลึกถึงศีลที่เราปฏิบัติ (สีลานุสติ) | ๙.ใช้จิตกำหนดที่ลมหายใจ (อานาปานสติ) |
๕.นึกถึงการบริจาคทานที่เราเคยทำ (จาคานุสติ) | ๑๐.ระลึกถึงคุณของพระธรรม(อุปสมานุสติ) |
๔. ระลึกถึงธรรมที่ประเสริฐที่ใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่าพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง (เรียกอีกอย่างว่า อัปปมัญญา)
๑.เมตตา คือความปรารถนาที่อยากให้ผู้อื่นมีความสุข
๒.กรุณา คือความคิดรู้สึกสงสารอยากให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์
๓.มุทิตา คือความรู้สึกยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นมีสุข
๔.อุเบกขา คือการวางเฉย เป็นกลางในความประพฤติและความคิด
๕. ใช้อาหารเป็นอารมณ์ในการพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลง เน่าเสีย บูดและกินไม่ได้ (อาหาเร ปฏิกูลสัญญา)
๖.พิจารณาธาตุทั้ง ๔ ในร่างกาย (จตุธาตุววัฏฐาน)
๑.ธาตุที่กินพื้นที่นั่นก็คือธาตุดิน | (ปฐวีธาตุ) |
๒.ธาตุที่เป็นของเหลวนั่นก็คือธาตุน้ำ | (อาโปธาตุ) |
๓.ธาตุที่มีความร้อนนั่นก็คือธาตุไฟ | (เตโชธาตุ) |
๔.ธาตุที่ทำให้สั่นไหวนั่นก็คือธาตุลม | (วาโยธาตุ) |
๗. ใช้สิ่งที่ไม่มีรูปคือจับต้องไม่ได้เป็นอารมณ์มี ๔ อย่าง (อรูป ๔) ได้แก่
๑.ภาวะของฌาณที่ใช้ช่องว่าง หรือความว่างเปล่าอันหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ (อากาสานัญจายตนะ)
๒.ภาวะของฌาณที่ใช้ความหาที่สุดไม่ได้ของวิญญาณเป็นอารมณ์ (วิญญาณัญจายตนะ)
๓.ภาวะของฌาณที่ใช้ภาวะที่ไม่มีอะไรกำหนดเป็นอารมณ์ (อากิญจัญญายตนะ)
๔.ภาวะของฌาณที่ว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ)